ยิ้มกลางสายฝน เป็นบทเพลงหนึ่งของคาราวาน ที่เขียนขึ้นเมื่อเข้าสู่ป่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่งเนื้อร้อง โดย สุรชัย จันทิมาธร เป็นเพลงช้า ความหมายลึกซึ้ง โดยเปรียบเทียบห่ากระสุนปืนที่สาดใส่เหมือนสายฝน
ยิ้มกลางสายฝน ได้ถูกนำกลับมาทำดนตรีใหม่และขับร้องใหม่อีกหลายครั้ง เช่น อรวี สัจจานนท์, พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
เนื้อร้อง
" เย็น....ฝนพรำพร่างพรูสู่พฤกษา
พรมไม้ป่า สดใสในวสันต์
หัวใจเรา ฉ่ำชื่นเช่นดังคืนวัน
ฝันและใฝ่โลกใหม่ต้องเป็นของเรา
ยามฝนหลั่ง เมฆบังบดทิวเขา
ยามเห็นเจ้า เปียกปอนตอนใกล้สาง
พบคนจริง ยิ่งยงคู่คงเส้นทาง
เห็นผู้สร้าง ความทรงจำ มิเลือนจากใจ
ยืนหยัดทะนง คู่คงเส้นทางยืดเยื้อ
ยิ้ม...เพื่อความฝันใกล้บรรลุชัย
ยามเห็นหน้า ต้องตาสื่อความหมาย
จับมือทักทาย ส่งยิ้มกลางสายฝน
พบความจริง ยิ่งหมายมั่นในกมล
หนทางสู้....สู่ชัยมิไกลจากเรา "
บทบาทเพลงปฏิวัติระยะเวลาประมาณ 6 ปี หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 เฉพาะในเขตป่าเขาคาดว่าบทเพลงปฏิวัติถูกสร้างสรรค์ไม่น้อยกว่า 400 เพลง ทั้งจากบรรดาศิลปินที่มีหน้าที่โดยตรง ผู้สนใจที่มีความรู้ ความสามารถ หน่วยศิลปินเฉพาะกิจ เฉพาะเขต มือสมัครเล่น ซึ่งในจำนวนทั้งหมดมีเพียงส่วนน้อยจำนวนหนึ่งได้รับการบันทึกเสียงเผยแพร่ บางส่วนบันทึกเสียงแต่ไม่ได้เผยแพร่ แต่จำนวนมากไม่ได้บันทึกเสียง เผยแพร่เฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น
ยุคแรกอารมณ์เจ็บปวด คลั่งแค้น จากเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 19 เมื่อถูกผลักดันให้ต้องทิ้งบ้าน ทิ้งเมือง หลบลี้หนีภัยไปสู่เขตป่าเขาต้องประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธ ก่อกำเนิดบทเพลงอย่าง จากลานโพธิ์ถึงภูพาน ลาไปเป็นทหารปลดแอก เปิดประตูคุกให้เพื่อน 6 ตุลาฯ แหล่ 6 ตุลาฯ ลูกจะกลับพร้อมชัย เมล็ดพืชสีแดง สหายฝากใจสู่นาคร ฯลฯ
เมื่อก้าวสู่สายทางปฏิวัติ ผ่านโรงเรียนการเมือง-การทหาร ปรับเปลี่ยนความรู้ ความคิดและใช้ชีวิตทหารแดง มีหน้าที่การงานชัดเจนลงสู่การปฏิบัติ สั่งสมประสบการณ์ จิตใจเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ฮึกเหิมห้าวหาญเชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธอย่างบทเพลงถั่งโถมโหมแรงไฟ เจ็ดสิงหาสู้บนทางปืน เดินทางไกลใต้ตะวันสีแดง เสียงเพลงจากภูผา ไม่รบนายไม่หายจน เสียงเพลงสู่แนวหน้า ฯลฯ
ยุคที่สอง การได้รับการยอมรับในกลุ่มมีองค์กรโอบอุ้มทำให้รู้สึกปลอดภัยแลการได้รับข่าวก้าวหน้าของสถานการณ์ปฏิวัติยิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกเชื่อมั่นต่อองค์กรนำ เกิดบทเพลงสดุดีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อรุโณทัย แสงรวีชี้ทางชัย ดาวแดงแห่งภูพาน ตะวันสีแดง ติดตามพรรคไป ความหวังแห่งชีวิตใหม่ ไม่ลืมบุญคุณพรรค ฯลฯ
มีบทเพลงที่จำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ปลุกเร้ากระตุ้นจิตใจสู้รบ ต้านการล้อมปราบ อาทิ ไฟป่า นักรบอาจหาญ ศึกผาแดง จับปืนขึ้นสู่แนวหน้า ร้อยห้าแหนบหัก เตรียมต้านศึก ฯลฯ การร่วมเทศกาลรำลึก เช่น ตุลาชัย เจ็ดสิงหาจงเจริญ เสียงปืนแตก รำวงเจ็ดสิงหา เทิดเกียรติหญิงไทย หญิงสู้หญิงชนะ สามัคคีหญิงไทย รำวง 1 ธันวาฯ พบกันวันปีใหม่ ฯลฯ การต้องเดินทางไปรับภาระหน้าที่ใหม่ในเขตงานอื่นเมื่ออำลากัน เช่น คำสัญญา กำลังใจ เราต่างมาจากทั่วทุกสารทิศ ฯลฯ
เมื่อการปฏิวัติดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย เกิดความขัดแย้งทางความคิดระหว่างฝ่ายต่างๆ นำไปสู่การเกิดวิกฤติศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค เกิดบทเพลงที่แสดงความสับสน ใช้สัญลักษณ์ซับซ้อน กระทั่งศิลปินหันไปสร้างบทเพลงที่มีลักษณะทั่วไป กลับไปสู่เพลงเพื่อชีวิตในที่สุด มีการปรากฏของบางบทเพลงที่ไม่ได้รับการเผยแพร่ เช่น รัตติกาล นาวาเดือนหงายกลางป่า ย่ำค่ำ ฝั่งน้ำน่าน นกเขาไฟ คาราวาน บ้านนาสะเทือน รวมถึงเพลงคิดถึงบ้าน ของนายผี ฯลฯ
ยุคที่สามราวเดือนเมษายน 2525 ศิลปินปฏิวัติชุดสุดท้าย ออกจากป่าเขตผาจิ-ผาช้าง กลับคืนสู่เมือง ส่วนที่เป็นนักศึกษา นักกิจกรรม กลับไปสู่ห้องเรียนหรือเลือกประกอบอาชีพเพื่อการมีรายได้เลี้ยงชีพ เริ่มต้นการต่อสู้ชีวิตครั้งใหม่ อาจมีบางคนเกี่ยวข้องกับวงการเพลงอยู่บ้าง แต่คงมีเพียงคาราวาน ที่กลับมาประกอบอาชีพศิลปินเพลงเพื่อชีวิตอย่างเต็มตัว ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2525 ใน “คาราวาน อิน คอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ”
แต่การเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองให้ยืนอยู่ได้ในระบบการแข่งขันของธุรกิจเพลงไทย ทำให้คาราวานสามารถยืนหยัดในฐานะมืออาชีพและมีความชัดเจนเป็นอิสระในวิถีทางของตนในระดับหนึ่ง และทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่บนการยอมรับของแฟนเพลงเก่าๆ ได้ในที่สุด แต่วงที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ในการ “จัดการ” กับระบบธุรกิจ และกลายเป็นวงเพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด คือ คาราบาว ที่เกิดไล่หลังแฮมเมอร์ไม่นานนัก
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, โฮป, คนด่านเกวียน, กะท้อน, คีตาญชลี, นิรนาม (ในยุคแรก) มาจนถึง ซูซู, พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์, อินโดจีนและอีกหลายคน หลายวง รวมถึงงานเดี่ยวของสมาชิกวงคาราวาน คาราบาว ล้วนมีส่วนหนุนเนื่องให้กระแสเพลงเพื่อชีวิตยุคที่ 3 ถาโถมรุนแรงจนถึงที่สุดไม่มากก็น้อย
แต่ในขณะเดียวกัน เพลงเพื่อชีวิตยุคที่ 3 ก็เปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกระดับหนึ่งจากบทเพลงประท้วง เพลงแห่งอุดมการณ์ กลายมาเป็นเพลง “สะท้อนสังคม” ที่คลายความรุนแรงลงไปตามกระแสการเมืองและความเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เคลื่อนสู่สังคมทุนนิยม บริโภคนิยม (ไม่ นับรวมบางส่วนในงานเพลงของคาราบาวที่แตกกระแสไปเป็น “เพลงการเมือง” อย่างชัดเจนนับตั้งแต่งานชุด อเมริโกย)
...มีกรณีศึกษาหลายกรณีที่ทำให้เชื่อได้ว่าบทเพลงเพื่อชีวิตยังคงมีส่วนสำคัญและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต
ของคนไทยอย่างแนบแน่น แบบว่าฟังแล้วโดนใจหรือเข้ากับชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่ท่วงทำนองของบทเพลง
เพื่อชีวิตซึ่งมีหลากหลายจังหวะแต่ถ้อยคำหรือบทประพันธ์ของบทเพลงเพื่อชีวิตเหล่านั่นยังสามารถใช้
ได้กับสถานการณ์ในปัจจุบันหรืออาจจะทอดยาวล่วงเลยไปจนถึงอนาคตได้อีกนานแสนนาน ดังตัวอย่าง
บทความนี้...
" ต๋อมโทรชวนผมออกไปดูม๊อบไทรอัมพ์ในตอนเย็นที่นิคมอุตสาหกรรมบางพลี
ดูม๊อบแล้วทำให้สะท้อนใจถึงความโหดร้ายของระบบทุนนิยมโดยเฉพาะในประเทศโลกอยากพัฒนาอย่างบ้านเรานี่แหละผู้หญิงครึ่งโรงงานจะต้องถูกออกจากงานด้วยเหตุผลของการ "ปรับโครงสร้าง" ขนาดใหญ่ในระดับโลกครึ่งหนึ่งที่ถูกออกเท่ากับอัตราใหม่ที่จะเปิดจ้างที่โรงงานที่นครสวรรค์ ซึ่งได้รับคนงานใหม่แล้ว ด้วยค่าจ้างที่ราคาถูกกว่าที่บางพลี และได้รับการ "ส่งเสริมการลงทุน" จากรัฐจริงอยู่ว่าการออกจากงานนั้นได้ค่าชดเชยเต็มตามกฏหมาย และได้พิเศษอีกเล็กน้อย
อย่าได้ลืมว่ากฏหมายนั้นก็มาจากการต่อสู้ที่เปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาของแรงงานรุ่นก่อนๆชีวิตของคนวัยสามสิบกว่าที่เข้าสู่โรงงานตั้งแต่เล็กแต่น้อย และวันนี้จะต้องออกจากโรงงานไปหางานใหม่อะไรคืออนาคตของพี่น้องแรงงานเหล่านี้
ผมไม่อยากจะบอกว่านายทุนโหดร้าย เพราะนายทุนก็เป็นคน
แต่ระบบทุนนิยมมันโหดร้ายกว่าในตำราที่มาร์กว่าไว้เยอะ
ถ้าคุณได้มายืนตากฝนและหลบฝนกับพวกเขาหน้าโรงงานในคืนวันที่แกนนำของพวกเขาเจรจากับผู้เกี่ยวข้องที่สำนักงานแรงงานจังหวัด
เพลงยิ้มกลางสายฝนคือเพลงที่พวกเขาร้องร่วมกัน
ในคืนที่พวกเขายังไม่รู้อนาคต
ในคืนที่คนอีกหลายคนไม่รู้ว่าสินค้าที่พวกคุณสวมใส่นั้นไม่ใช่มีวัตถุดิบอยู่แค่เงินและเส้นใยและเครื่องจักรแต่มีชีวิตของมนุษย์คนอื่นเกี่ยวเนื่องอยู่ในกระบวนการเหล่านั้น
เราเรียกร้องให้มีผู้บริโภคและนายทุนที่ใจดีหน่อยคงไม่พอหรอกครับ
ถ้าไม่ร่วมกันทำให้ระบบทุนนิยมทั้งระบบมันลดความโหดร้ายลงกว่านี้ไม่ได้ ..."
ดูม๊อบแล้วทำให้สะท้อนใจถึงความโหดร้ายของระบบทุนนิยมโดยเฉพาะในประเทศโลกอยากพัฒนาอย่างบ้านเรานี่แหละผู้หญิงครึ่งโรงงานจะต้องถูกออกจากงานด้วยเหตุผลของการ "ปรับโครงสร้าง" ขนาดใหญ่ในระดับโลกครึ่งหนึ่งที่ถูกออกเท่ากับอัตราใหม่ที่จะเปิดจ้างที่โรงงานที่นครสวรรค์ ซึ่งได้รับคนงานใหม่แล้ว ด้วยค่าจ้างที่ราคาถูกกว่าที่บางพลี และได้รับการ "ส่งเสริมการลงทุน" จากรัฐจริงอยู่ว่าการออกจากงานนั้นได้ค่าชดเชยเต็มตามกฏหมาย และได้พิเศษอีกเล็กน้อย
อย่าได้ลืมว่ากฏหมายนั้นก็มาจากการต่อสู้ที่เปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาของแรงงานรุ่นก่อนๆชีวิตของคนวัยสามสิบกว่าที่เข้าสู่โรงงานตั้งแต่เล็กแต่น้อย และวันนี้จะต้องออกจากโรงงานไปหางานใหม่อะไรคืออนาคตของพี่น้องแรงงานเหล่านี้
ผมไม่อยากจะบอกว่านายทุนโหดร้าย เพราะนายทุนก็เป็นคน
แต่ระบบทุนนิยมมันโหดร้ายกว่าในตำราที่มาร์กว่าไว้เยอะ
ถ้าคุณได้มายืนตากฝนและหลบฝนกับพวกเขาหน้าโรงงานในคืนวันที่แกนนำของพวกเขาเจรจากับผู้เกี่ยวข้องที่สำนักงานแรงงานจังหวัด
เพลงยิ้มกลางสายฝนคือเพลงที่พวกเขาร้องร่วมกัน
ในคืนที่พวกเขายังไม่รู้อนาคต
ในคืนที่คนอีกหลายคนไม่รู้ว่าสินค้าที่พวกคุณสวมใส่นั้นไม่ใช่มีวัตถุดิบอยู่แค่เงินและเส้นใยและเครื่องจักรแต่มีชีวิตของมนุษย์คนอื่นเกี่ยวเนื่องอยู่ในกระบวนการเหล่านั้น
เราเรียกร้องให้มีผู้บริโภคและนายทุนที่ใจดีหน่อยคงไม่พอหรอกครับ
ถ้าไม่ร่วมกันทำให้ระบบทุนนิยมทั้งระบบมันลดความโหดร้ายลงกว่านี้ไม่ได้ ..."
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลต่อไปนี้
1. (วิกิพีเดีย) สารานุกรมเสรี
2. (เลิศภพฯ:Tweet) http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=29.50;wap2
3. (บรรเลงไวโอลีน )http://thaiviolinsheetmusic.blogspot.com/2010/06/blog-post_3957.html
4. (ไทรอัมพ์) http://watdog.multiply.com/photos/album/55/55